โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นหนึ่งในภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่รุนแรง เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดในสมอง การขาดเลือดและออกซิเจนเพียงไม่กี่นาทีอาจทำให้สมองเสียหายถาวร นำไปสู่ความพิการหรือเสียชีวิต โรคนี้ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตและความพิการที่สำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า โรคหลอดเลือดสมองส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 15 ล้านคนต่อปี โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 5 ล้านคน และอีก 5 ล้านคนต้องทนทุกข์กับความพิการถาวร การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองจึงเป็นเรื่องสำคัญในการลดความเสี่ยงและผลกระทบจากโรคนี้
โรคหลอดเลือดสมอง แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ซึ่งมีสาเหตุและการรักษาที่แตกต่างกัน ได้แก่

โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke)
เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดสมองโดยลิ่มเลือด ไขมัน หรือคราบพลาค (Plaque) ที่สะสมในหลอดเลือด การอุดตันนี้ทำให้เลือดไม่สามารถไหลไปเลี้ยงสมองบางส่วนได้ ส่งผลให้สมองขาดเลือดและออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการรักษา เนื้อสมองในบริเวณนั้นจะตาย ซึ่งอาจนำไปสู่ความพิการถาวรหรือเสียชีวิตได้
สาเหตุหลักของการอุดตัน มักมาจากลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดสมองเอง หรือจากลิ่มเลือดที่หลุดจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น หัวใจ นอกจากนี้ การสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดจากโรคหลอดเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เพิ่มโอกาสการเกิดโรคนี้ โดย Ischemic Stroke เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 87% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด

โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)
เป็นภาวะที่เกิดจากการแตกของหลอดเลือดในสมอง ส่งผลให้เลือดรั่วไหลและทำลายเนื้อสมองโดยรอบ การรั่วของเลือดนี้ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน และยังเพิ่มความดันในสมองอย่างรวดเร็ว ภาวะนี้คิดเป็นประมาณ 13% ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด แต่มีความรุนแรงสูงกว่าโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน
สาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมองแตก ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ซึ่งทำให้หลอดเลือดเปราะบางจนแตกง่าย และ หลอดเลือดโป่งพอง (Aneurysm) ซึ่งเป็นความผิดปกติที่ทำให้หลอดเลือดบางลงจนแตกได้เมื่อความดันเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดและการบาดเจ็บที่ศีรษะก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงเช่นกัน
Hemorrhagic Stroke ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะการปล่อยให้เลือดไหลในสมองโดยไม่มีการควบคุมอาจนำไปสู่ความเสียหายรุนแรงหรือเสียชีวิตได้

ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack: TIA)
หรือที่เรียกว่า “สโตรกเล็ก” เป็นภาวะที่เกิดจากการหยุดชะงักของการไหลเวียนเลือดไปยังสมองชั่วคราว ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจนในช่วงเวลาสั้นๆ อาการที่เกิดขึ้น เช่น ชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้า แขน หรือขา พูดไม่ชัด หรือการมองเห็นเปลี่ยนไป มักจะหายเองภายในไม่กี่นาทีถึงไม่เกิน 24 ชั่วโมง
ถึงแม้ว่า TIA จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายถาวรต่อสมอง แต่ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดสมองรุนแรงในอนาคต การวินิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น การตรวจสุขภาพและการดูแลปัจจัยเสี่ยง เช่น ควบคุมความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง จะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะนี้และป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาการของโรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง มักแสดงอาการอย่างฉับพลัน ซึ่งลักษณะของอาการขึ้นอยู่กับบริเวณสมองที่ได้รับผลกระทบ อาการทั่วไปที่พบ ได้แก่
- อ่อนแรงหรือชาบริเวณใบหน้า แขน หรือขา โดยมักเกิดขึ้นกับร่างกายด้านใดด้านหนึ่ง
- ปัญหาการพูด เช่น พูดไม่ชัดหรือไม่สามารถพูดได้
- ปัญหาการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพเบลอหรือสูญเสียการมองเห็นในดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง
- การทรงตัวเสียหาย เช่น เวียนศีรษะ เดินไม่มั่นคง หรือสูญเสียการเคลื่อนไหว
- ปวดศีรษะรุนแรง ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
หลักการจดจำอาการด้วยคำว่า FAST
- F (Face) ใบหน้าไม่สมมาตร เช่น ยิ้มแล้วมุมปากตก
- A (Arms) แขนข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ยกขึ้นไม่ได้
- S (Speech) การพูดผิดปกติ พูดไม่ชัด หรือไม่สามารถพูดได้
- T (Time) หากพบอาการ ควรรีบไปโรงพยาบาลทันทีเพื่อรับการรักษา
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งบางปัจจัยสามารถควบคุมได้ ในขณะที่บางปัจจัยควบคุมไม่ได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้
- อายุ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี
- เพศ ผู้ชายมีแนวโน้มเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากกว่า แต่ผู้หญิงมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคนี้สูงกว่า
- พันธุกรรม หากสมาชิกในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ความเสี่ยงในคนในครอบครัวจะเพิ่มขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้
- ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด
- โรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดสูงส่งผลเสียต่อหลอดเลือด
- คอเลสเตอรอลสูง การสะสมของไขมันในหลอดเลือดเพิ่มความเสี่ยงของการอุดตัน
- การสูบบุหรี่ ทำให้หลอดเลือดตีบและลดความยืดหยุ่น
- การไม่ออกกำลังกายและน้ำหนักเกิน เพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดและโรคเรื้อรังอื่น ๆ
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง

แม้ว่าโรคหลอดเลือดสมองจะมีผลกระทบร้ายแรง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้
- ควบคุมความดันโลหิต วัดความดันเป็นประจำและรักษาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ลดไขมันในเลือด หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง และเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และธัญพืช
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
- เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อลดการทำลายหลอดเลือด
- ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจหาความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง
- ดูแลน้ำหนัก รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง

การรักษาโรคหลอดเลือดสมองขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ซึ่งแบ่งเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่
- โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke) ใช้ยาละลายลิ่มเลือด เช่น tPA หรือใช้เครื่องมือช่วยกำจัดลิ่มเลือดในกรณีที่มีการอุดตันรุนแรง
- โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) การรักษาเน้นการหยุดเลือดไหลและลดแรงดันในสมอง โดยอาจใช้วิธีการผ่าตัดหรือการรักษาแบบเฉพาะทางอื่น ๆ
นอกจากนี้ การฟื้นฟูสมรรถภาพ เช่น การทำกายภาพบำบัดหรือการฝึกพูด เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ
โรคหลอดเลือดสมองป้องกันได้ด้วยดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรม
โรคหลอดเลือดสมอง เป็นภัยที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง หากเราสังเกตอาการเบื้องต้นและเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที จะช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบ การป้องกันด้วยการดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมถือเป็นแนวทางสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง เพื่อให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาว
แนะนำให้อ่าน โปรแกรมสุขภาพ การออกแบบสุขภาพ เฉพาะบุคคลด้วย DNA